บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) แห่งหนึ่ง (ไม่เปิดเผยชื่อ) ใช้บริการ Amity Bots เพื่อเปลี่ยนบัญชี Line ให้เป็นชุมชนสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารโดยเฉพาะบรรดาคุณแม่ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม (engagement) กับลูกค้า สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า (brand affinity) ขายสินค้าทางโซเชียล และรวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าของลูกค้า
<big-nr>900,000<big-nr>
<cs-number-text>ข้อความโต้ตอบกับบอทในแต่ละเดือน<cs-number-text>
<big-nr>140,000<big-nr>
<cs-number-text>ผู้ติดตามใหม่โดยเฉลี่ยในแต่ละเดือน<cs-number-text>
<big-nr>85%<big-nr>
<cs-number-text>อัตราการยอมรับ (adoption rate) ของฟีเจอร์ใหม่ ๆ โดยการสำรวจผู้ใช้งาน<cs-number-text>
<sprscript-green-kanit>ความท้าทาย<sprscript-green-kanit>
Line เป็นแพลตฟอร์มส่งข้อความอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย การมีบัญชี Line Official จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับบริษัท องค์กร หรือแบรนด์ใด ๆ ก็ตามที่ต้องการใกล้ชิดสนิทสนมกับลูกค้ามากขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนข้อความที่ล้นหลามจากทั้งผู้ติดต่อและหลากหลายบัญชี Official การสร้างช่องทางการสื่อสารดังกล่าวให้โดดเด่นอาจกลายเป็นความท้าทายอย่างแท้จริง
บริษัท FMCG ดังกล่าวต้องการใช้กลยุทธ์ที่จะแยกสิ่งเหล่านั้นออกจากกัน ในขณะเดียวกันก็ยังคงผู้ใช้งานให้มีส่วนร่วมเพื่อที่จะสามารถเพิ่มกลุ่มลูกค้าแบรนด์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ - ได้แก่ กลุ่มลูกค้าที่เป็นคุณแม่
<cs-quote>“ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ engagement ตามที่เราต้องการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาคอุตสาหกรรมที่เราดำเนินอยู่ การรักษาลูกค้าให้มีส่วนร่วมและใกล้ชิดกับคุณอยู่เสมอ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง”<cs-quote>
<text-size-regular>– กล่าวโดย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อ ของบริษัทดังกล่าว<text-size-regular>
<sprscript-green-kanit>จุดเริ่มต้น<sprscript-green-kanit>
เมื่อทราบถึงความจำเป็นในการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคในระยะยาว บริษัท FMCG ดังกล่าวตัดสินใจใช้บัญชี Line Official ของตนเองเพื่อคาดการณ์ถึงความต้องการในผลิตภัณฑ์ของตน แทนที่การส่งข้อความและโปรโมชั่นแบบปกติทั่วไป นอกจากนี้ เนื่องด้วยลูกค้าจำนวนมากใช้ Line เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนในเรื่องอาหาร รวมไปถึงบรรดาคุณแม่ที่มักจะต้องคิดเรื่องเมนูอาหารค่ำ บริษัทฯจึงตัดสินใจมอบและแนะนำสูตรอาหารที่ทำจากผลิตภัณฑ์ของตนเอง!
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเลือกใช้ Amity Bots ซึ่งทำให้การใช้งานนั้นง่ายขึ้นมาก อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถออกแบบ use cases ที่โดดเด่น เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้า พวกเขาเริ่มต้นจากการสร้างให้บอทมีบุคลิก อย่าง “แม่เอม” กูรูด้านอาหารรสมือแม่ (หรือที่คนไทยบางคนอาจเรียกกันว่า “ป้า”) ที่คอยต้อนรับคุณอย่างอบอุ่นเสมอ แม่เอมมีเคล็ดลับการทำอาหารที่ดีที่สุดและรู้ลึกทุกแง่มุมของการมีชีวิตสุขภาพที่ดี!
ลูกค้าสามารถขอคำแนะนำสูตรอาหารทั่วไปหรือสูตรเฉพาะใด ๆ จากแม่เอมได้ เช่น อาจขอสูตรอาหารที่มีรสชาติเฉพาะ (เช่น เผ็ด เปรี้ยว หวาน) ตามวิธีการปรุงอาหาร (เช่น ต้ม อบ) ประเภทของอาหาร (เช่น ญี่ปุ่น ไทย) ประเภทของส่วนผสม (เช่น ไก่ ปลา) และสามารถคัดกรองว่าแพ้อาหารชนิดใด หรือต้องการทำอาหารให้คนกลุ่มใด (เช่น เด็ก เพื่อน) จากนั้น แม่เอมจะให้รายละเอียดทั้งหมดเพื่อให้ลูกค้าสามารถอ่านสูตร บันทึกลงในตำราอาหาร แบ่งปันกับเพื่อน ๆ หรือ (หลังจากนั้น) ค่อยซื้อเครื่องปรุงหรือส่วนผสมได้ทางออนไลน์
จะเห็นได้ว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ win-win! ลูกค้านั้นได้รับความช่วยเหลือเรื่องการครัวอย่างเต็มที่ ในขณะที่บริษัทนั้นก็ได้เห็นถึงความภักดีต่อแบรนด์ (brand loyalty) ของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การแชร์สูตรอาหารเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมียอดวิวเป็นที่น่าประทับใจจากบรรดาคุณแม่ สูตรอาหารที่บันทึกไว้นั้นรวมกันแล้วมีเฉลี่ยประมาณ 9,000 สูตรต่อเดือน
<sprscript-green-kanit>ทิศทางที่กำลังดำเนินต่อไป<sprscript-green-kanit>
แม่เอมถือได้ว่าเป็น “มนุษย์แม่มหัศจรรย์” ในหลาย ๆ ทาง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้บริษัทนั้นมีการบริโภคของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการรับรู้ของแบรนด์ (brand awareness) ในหมู่ลูกค้าคุณแม่ในตลาดไทยด้วยการช่วยแบ่งปันสูตรอาหารประจำวัน ทั้งนี้ มีผู้ติดตามกว่า 20 ล้านคนที่ได้ติดตามบอท โดยมีผู้ใช้งานใหม่เกือบ 150,000 คนที่เข้าถึงบอทในแต่ละเดือนยิ่งไปกว่านั้น หากหมดไอเดียในการทำอาหารหรือแม้กระทั่งเมนูอาหารเพื่อสุขภาพแบบด่วน แม่เอมนี่เองพร้อมยินดีที่จะช่วยเหลือบรรดาคุณแม่ รวมถึงชุมชนผู้ใช้งาน
เมื่อบริษัทดังกล่าวเริ่มคิดหากลยุทธ์ พวกเขาต้องการใช้สองสาม use cases แบบง่าย ๆ เพื่อนำคุณค่ามาสู่ชีวิตประจำวันของลูกค้า และเพื่อสร้างเป็นข้อความเฉพาะสำหรับบุคคลต่อไป เมื่อชุมชนผู้ใช้งานของพวกเขาขยายใหญ่ขึ้น บริษัทนั้นก็ได้รู้ว่าลูกค้าไม่เกี่ยงที่จะให้ข้อมูลส่วนบุคคลของตัวเองมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเริ่มนำเสนอ use cases ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นเพื่อช่วยรวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าและช่วยกระตุ้นยอดขาย ในส่วนของโปรไฟล์ ลูกค้าจะถูกขอให้เพิ่มข้อมูลส่วนบุคคลก่อน เช่น พวกเขาทำอาหารเก่งแค่ไหน (คุณแม่ทุกคน) และมีอาการแพ้อาหารชนิดใดหรือไม่ หรืออาหารประเภทใดที่พวกเขาชอบ สิ่งนี้จะทำให้แม่เอมสามารถช่วยเหลือในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้กับบริษัทฯ ได้มากขึ้น
บริษัทเริ่มส่งแบบสอบถามต่าง ๆ โดยถามคำถาม เช่น “สไตล์การทำอาหารที่ลูกค้าชื่นชอบที่สุดคืออะไร” หรือ “กิจกรรมหลังเลิกงานของพวกเขาคืออะไร” และเพื่อให้แน่ใจว่าคำถามเหล่านี้ได้รับคำตอบแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจเลือกใช้ฟอร์แมตของภาพที่สามารถกดคลิกได้ (หนึ่งในหลากหลายความสามารถของ Amity Bots) ทำให้ลูกค้าตอบคำถามได้ง่ายขึ้นและช่วยโน้มน้าวให้ลูกค้าตอบยิ่งขึ้น.
หนึ่งใน use cases ล่าสุดที่เพิ่มเข้ามาคือการช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างและแบ่งปันสูตรอาหารของตนเอง จะเห็นได้ว่ามีผู้ใช้งานมากกว่า 86% ค้นดูตำราอาหาร โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบอทแม่เอมนั้นจะกลายเป็นจุดศูนย์กลางสำหรับทุกความต้องการในเรื่องของการทำอาหารให้กับลูกค้าของบริษัทในอีกไม่ช้า
<sprscript-green-kanit>ขั้นตอนต่อไปคืออะไร?<sprscript-green-kanit>
บริษัทฯดังกล่าวได้ปรับตัวต่อสถานการณ์โควิด-19 ปรับปรุงพัฒนาให้ชีวิตประจำวันของทุกคนสะดวกสบายยิ่งขึ้น ช่วยให้ผู้รักการทำอาหารสามารถเลือกสูตรอาหารเองได้ และเพียงแค่คลิกปุ่มเดียวเท่านั้น ก็สามารถเข้าไปยังเว็บไซต์ของพันธมิตรได้โดยตรง โดยจะพบกับเครื่องปรุงส่วนผสมมากมายพร้อมอย่างเสร็จสรรพและสามารถชำระเงินได้ทันที พวกเขายังคงมุ่งสรรหาวิธีที่จะให้การทำอาหารเป็นเรื่องที่ง่ายดายและสะดวกสบายต่อไป พร้อมกับโซลูชันสำหรับทุกความท้าทายในการทำอาหาร และหวังจะเป็นพื้นที่ดีที่สุดให้กับบรรดาชาวครัวทุกคน
<cs-quote>“เรารู้สึกประทับใจกับข้อมูลเชิงลึก ตลอดจนผลลัพธ์ที่ได้รับจากความร่วมมือครั้งนี้เป็นอย่างมาก เราต้องการบางอย่างที่จะสามารถสร้างความแตกต่างให้กับเรา ประกอบกับทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกเชื่อมต่อถึงกันกับเรา เราได้วางแผนตระเตรียมสำหรับความเพียรพยามและตั้งใจในอนาคต ซึ่งดูแล้วมีความหวังเป็นอย่างยิ่ง.”<cs-quote>
<text-size-regular>– กล่าวโดย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ ซีอีโอ บริษัท FMCG ดังกล่าว<text-size-regular>